lie is me - lie is me นิยาย lie is me : Dek-D.com - Writer

    lie is me

    เนื้อเรื่องไม่น่าสนใจ หากใครไม่ว่างจริงๆอย่าอ่าน เตือนแล้วนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    44

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    44

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 มี.ค. 58 / 19:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    อยากรู้ก็ไปอ่านเอง
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Lie

      คำเตือน! เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องแต่งเท่านั้น ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย และไม่ควรลอกเลียนแบบเพราะนี่เป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น

      ที่นี่ที่ไหน...โรงเรียนหรอ

      (ย้อนกลับไปแปดชั่วโมงก่อน)

      ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ พื้นที่นี้เต็มไปด้วยฝุ่นที่กระจายอยู่รอบตัวอย่างหนาแน่นจนทำให้แทบจะมองไม่เห็นทัศนวิสัยรอบข้าง มองไปรอบๆก็เห็นแต่ภาพของผู้คนในชุดสีเขียวและต้นไม้ที่เหือดแห้งเนื่องด้วยอุณหภูมิที่สูงเกือบสี่สิบองศา ผมมาฝึกรด.ที่นี่ บอกตามตรงผมไม่ค่อยไหวกับสภาพแวดล้อมแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะผมเป็นคนอ่อนแอสุดๆ แถมยังเป็นภูมิแพ้ฝุ่นอีกด้วย ก่อนเข้ารับการฝึก สภาพร่างกายผมก็ไม่เต็มร้อยเพราะดันมาเป็นหวัดซะก่อน ผมฝึกและทนพิษไข้มาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงวันที่สี่ของการอยู่ที่นี่ นั่นก็คือวันนี้นี่เอง ที่นี่ทำให้ผมรู้จักผู้คนมากมาย ทำให้ผมได้พบว่าคนเรานั้นไม่เหมือนกัน หลายคนที่คิดจะแหกกฎเพื่อทำในสิ่งที่ใจตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาว่าจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ หลายคนก็พยายามปฏิบัติตามกฎเพราะไม่อยากโดนลงโทษ ที่นี่เรียกการลงโทษว่า แดก แต่ว่าทหารบอกว่าการแดกนั้นไม่ใช่การลงโทษ เป็นเพียงแค่การออกกำลังกายเท่านั้น แต่ก็นะผมก็คิดว่ามันก็คือการลงโทษอยู่ดี ผมเป็นเด็กหอ ดังนั้นการออกมาเปิดหูเปิดตาที่นี่ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกันสำหรับผม ผมฝึกไปเรื่อยๆ พิษไข้ยิ่งรุนแรงไปตามเวลาที่ไม่อาจจะหยุดเดินได้เลย จนกระทั่งรวมพลในช่วงเย็น อาการของผมยิ่งหนักขึ้นไปอีก ผมเริ่มหายใจทางปาก ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น สุดท้ายก็หายใจทางจมูกไม่ได้เพราะน้ำมูกดันมากองค้างที่โพรงจมูกของผมอันเป็นผลจากการเป็นภูมิแพ้ของผมนั่นเอง ผมเริ่มเห็นภาพเรือนรางและมัวลงเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเพราะฝุ่นที่ล้องลอยค้างอยู่ในอากาศแต่กลับเป็นตาของผมเองที่พร่ามัวลง สิ้นสุดการบรรยายครูฝึกสั่งให้ลุกขึ้นเพื่อกลับที่พัก ผมก็ลุกตามปกติ แต่เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยได้มาอุบัติขึ้นในวันนี้ ทันใดนั้น ร่างกายของผมก็ล้มลงไปด้านหน้า เรี่ยวแรงของผมไม่สามารถบังคับให้ผมฝืนยืนต่อไปได้อีก ผมล้มไปชนกับเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าแล้วก็ร่วงไปกองกับพื้นในที่สุด สติของผมอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกตัวเป็นพักๆ ครั้งแรกผมรู้สึกตัวว่าถูกหิ้วแกว่งไปมาเหมือนลอยได้ ครั้งต่อมาผมก็เห็นแสงไฟกับเงาคนสลัวๆแล้วก็หลับไป ตอนนั้นทำให้ผมนึกถึงเรื่องหลังความตายขึ้นมาทันที เวลาตายไปเราจะพบแสงสว่างอยู่อีกด้านพร้อมกับคนที่นำพาที่จะนำเราไปสู่แสงสว่างนั้นๆ สุดท้ายผมก็รู้สึกตัวอีกครั้งตอนอยู่บนรถพยาบาล พอผมพยายามลืมตาอีกครั้งสติผมก็หลุดลอยออกไปกลายเป็นคนที่กำลังเพ้อเพราะพิษไข้และความเครียด ผมจำอะไรไม่ได้ช่วงนั้นเลย จำไม่ได้เลยว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง พอเริ่มมีสติผมก็เห็นผ้าสีฟ้า เหมือนเตียงสีฟ้าของหอพัก ผมนึกว่าผมฝันและลืมตื่นไปฝึกรด. ผมนึกว่าผมอยู่หอ ผมเลยรีบพลิกตัวจนกลิ้งตกเตียง เสียงกระทบกับพื้นดังมากแต่ทว่ากลับไม่มีใครได้ยินซะงั้น ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วมองรอบข้าง ผมคิดว่าที่นี่ไม่ใช่หอแน่ เพราะมีเตียงมากมายวางเรียงรายเป็นแถวๆ แถมยังมีสัญลักษณ์รูปบวกสีแดงอีก ผมจึงนึกออกว่าผมเป็นลมไปและตอนนี้ก็น่าจะอยู่โรงพยาบาลหรือที่ไหนสักแห่งที่เกี่ยวกับการพยาบาล ผมเดินไปข้างนอกเจอหมอทหารและนางพยาบาล พวกเขาถามเกี่ยวกับอาการของผมแล้วก็ให้ผมไปอาบน้ำก่อนกลับไปนอนบนเตียงเช่นเดิม หลังจากค่ำคืนบนเตียงสีฟ้าได้จบลง ผมตื่นขึ้นมาตอนตีห้าเพราะมีทหารเปิดเพลงฟังเสียงดังรบกวนเวลานอนอันแสนสุขของผม ผมจึงรีบลุกไปอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเพื่อไปฝึกต่อ วันนี้วันสุดท้ายแล้ว มีการโดดหอด้วย ผมจึงรีบเก็บของและไปรอข้างนอก ระหว่างรอพี่ๆทหารก็ให้ผมไปทานข้าวก่อนไปส่งที่กองพันหรือที่พักของผมนั่นเอง พอผมไปถึงที่นั่น มีเพื่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเป็นไงบ้างและยกมือมาเพื่อที่จะแปะมือกัน(บางคนเรียกว่าไฮไฟว์) ผมก็ตอบว่าสบายดี แต่ผมสงสัยว่าทำไมว่าต้องแปะมือด้วย ผมจึงถามกลับไป แล้วก็ได้คำตอบมาว่าเมื่อวานผมได้ต่อยทหารไปหมัดหนึ่ง ถ้าใครไม่เคยเรียนรด.คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้แน่เพราะการเอาคืนทหารที่คอยพยายามลงโทษอยู่เสมอๆนั้นทำได้ยากมาก โอกาสแทบจะไม่มี หนึ่งในล้านเลยกว่าจะได้พบโอกาสแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ดีใจอะไรเลยแถมรู้สึกผิดด้วยซ้ำไป ผมจึงเริ่มถามเหตุการณ์ทั้งหมดจากเพื่อนว่าระหว่างที่ผมไปการแพทย์นั้นเกิดไรขึ้นบ้าง หลังจากกลับจากรด.ผมนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนที่ไม่ได้ไปรด.ฟัง เขาก็ถามกลับมาว่าตอนนี้เป็นไงบ้างดีขึ้นรึยัง ด้วยความที่ว่าผมไม่อยากเก็บความลับไว้คนเดียวอีกต่อไป ผมจึงตอบไปว่าสบายดี จากนั้นก็เล่าต่อว่าที่จริงแล้วผมไม่ได้เป็นลมอะไรทั้งนั้น แต่ทุกอย่างเป็นเพียงละครที่แสดงขึ้นมาเท่านั้น ที่จริงผมไม่ได้อยากทำหรอกแต่ด้วยพิษไข้ทำให้ผมง่วงและขี้เกียจฝึก ถ้าผมไปบอกทหารผมก็จะโดนบ่น ผมขี้เกียจฟัง ผมเลยวางแผนทั้งหมดตั้งแต่บ่ายวันที่สี่ ผมคิดว่าถ้าเลือดได้รับออกซิเจนเยอะๆ น่าจะมีผลต่อสมองอาจจะทำให้เรามึนๆหรือเกิดอะไรขึ้นได้ ผมจึงหายใจถี่ขึ้น แต่โชคร้ายที่ผมนั้นหายใจทางจมูกไม่ได้ ผมจึงต้องหายใจทางปากเรื่อยๆ คอและปากผมแห้งมากแถมยังมีฝุ่นจำนวนมากเข้าไปติดในลำคอ ผมจึงไอเป็นระยะๆ และแล้วก็เริ่มได้ผล ผมรู้สึกได้ว่าสติผมเริ่มขาดๆหายๆคล้ายๆจะเป็นลม ผมจึงต้องประคองสติตัวเองให้อยู่ไปก่อนเพราะถ้าฟุบไปตอนนี้อาจจะทำให้คนคิดว่าผมหลับไปเพราะนั่งฟังบรรยายสุดแสนจะยาวยืด อาจจะรู้สึกง่วงและหลับไป จากนั้นผมเตรียมการคิดล่วงหน้าว่าควรจะล้มยังไงให้ปลอดภัยที่สุด ที่คิดไว้มีสามทางคือล้มไปข้างหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ผมเริ่มตัดช้อยออก ด้านหลังคงล้มยากแน่เพราะคงทำได้แค่ทรุดลงไปเท่านั้น อาจจะดูไม่เนียนสักเท่าไหร่ ถ้าเราล้มไปด้านข้างและเพื่อนไม่รับ หัวผมจะกระแทกพื้นแน่ๆ ซึ่งอันตรายไป ผมจึงคิดว่าถ้าล้มไปข้างหน้าไปชนเพื่อนจะช่วยลดแรงกระแทกแล้วก็มีโอกาสเจ็บน้อยกว่าแล้วก็เนียนสุดด้วย ก่อนลุกตามคำสั่งครูฝึกผมจึงสะพายเป้ก่อนและเมื่อยืนผมก็ล้มไปข้างหน้าให้ชนเพื่อนข้างหน้า ชนเพียงครึ่งตัวเพื่อจะได้พลิกตัวได้ จากนั้นก็เอียงตัวพลิกเอาเป้ลงพื้นทำให้ผมไม่เจ็บตัวเลย หลังจากล้มไปอยู่กับพื้น ผู้คนต่างเข้ามาล้อมและเรียกปลุกให้ผมตื่น ผมจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและพยายามทำตัวให้ไม่มีแรงให้มากที่สุดเพราะผมคิดว่าคนเป็นลมคงไม่มีใครมีแรงยกแขนยกขาหรือแม้กระทั่งขยับตัวแน่ จากนั้นไม่นานนักครูฝึกก็เข้ามาหิ้วผมไปที่เต๊นท์ แล้วก็พยายามถามอะไรต่างๆนานา ผมไม่ตอบ ผมเผลอลืมตาขึ้น ผมจึงมองไปข้างบนทำตาให้เหมือนตาลอยคล้ายคนไม่มีสติและก็ปล่อยให้น้ำลายไหลออกมาจากปาก จากนั้นไม่นานผมจึงแกล้งหลับทำให้หลับตาลงได้อีกครั้ง ต่อมาทหารก็นำผมขึ้นรถเพื่อที่จะไปส่งที่หน่วยการแพทย์ พวกเขาพยายามเอาแอมโมเนียมาทาที่จมูกโตๆของผมเพื่อปลุกให้ตื่น แต่ก็นะจมูกมันตันทำให้ไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น ผมหายใจด้วยปากนานมาก เริ่มรู้สึกเหนื่อย จึงหยุดหายใจไปพักหนึ่งเพื่อเรียกความสนใจและก็ได้ผล เพราะทุกคนต่างเรียกผมกันยกใหญ่ แต่ทว่าได้ผลเกินคาดเพราะเขาเรียกไม่หยุด ผมจึงรำคาญและคิดต่อว่าจะทำไงดี ผมคิดไปคิดมาจึงคิดได้ว่าเพ้อเลยละกันจะได้ไม่ต้องแกล้งหลับตา ผมจึงลืมตาขึ้นและก็ตะโกนแหกปากเสียงดังแล้วก็ร้องไห้โฮ ทหารก็ตกใจที่ผมดิ้นจึงรีบเข้ามาหยุดผม จังหวะนั้นผมได้สะบัดมือเข้าที่หน้าทหารอย่างจัง แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจให้โดนหน้าแต่ตั้งใจสะบัดออกไป ผมก็คิดว่าทหารเข้ามากอดรัดขนาดนี้แล้วคงต้องทุเลาลงบ้างผมจึงหยุดแหกปากแล้วก็ทำท่าหวาดกลัวเพื่อให้เข้ากลับการที่ผมแสดงอาการร้องไห้ออกมา พอถึงหน่วยการแพทย์ ผมคิดว่าถ้าผมหายเป็นปกติ เตียงนุ่มๆที่อยู่ใกล้ๆนั้นอาจจะไม่ได้สัมผัสตัวเราแน่ ผมจึงอาละวาดอีกครั้ง ทหารจะเข้ามาหยุดแต่พยาบาลห้ามไว้ ปล่อยผมดิ้นและแหกปากไปเรื่อยๆ สักพักผมก็รู้สึกเหนื่อยจึงหยุด พยาบาลจึงเข้ามาตรวจและถาม ผมคิดว่าแสดงถึงขนาดนี้แล้วได้นอนบนเตียงนุ่มๆที่อยู่ที่นี่แน่ แถมยังได้หลับยาวอีกด้วย เพราะว่าตอนฝึกวันก่อนๆผมนอนกับพื้น มีแค่พลาสติกรองเป็นเสื่อปูพื้นเท่านั้นแถมยังโดนปลุกแต่เช้าอีก แทบจะไม่ได้นอนเลย หลังจากที่ริมฝีปากของพยาบาลได้หยุดขยับ ผมจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้งและแกล้งตอบด้วยเสียงออดๆแอดๆราวกับคนป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ จากนั้นทหารก็ยกผมไปนอนบนเตียง ผมนอนไปสักพักรู้สึกคัน เหนียวตัว และอยากอาบน้ำ ผมจึงแกล้งลุกเหมือนคนพึ่งได้สติกลับมาไปแล้วก็เดินไปหาพยาบาลเพื่อถามว่าที่นี่ที่ไหน ตัวผมเลอะฝุ่นมากผมจึงคิดว่าพยาบาลคงไล่ไปอาบน้ำแน่ๆ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ วันนั้นผมจึงได้นอนอย่างสบาย และตื่นขึ้นมาอย่างสดใส และก็แสดงละครต่อ แกล้งทำเป็นว่าจำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิดไป สุดท้ายก็ไปโดดหอสมดั่งใจหวัง รด.นี่ช่างสบายจริงๆ

      ปล.เรื่องแต่ง จริงๆนะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×